สมคิด"สั่งคลังเตรียมมาตรการเศรษฐกิจเพิ่ม เน้นเพิ่มเงินในกระเป๋าผู้มีรายได้น้อย หวังกระตุ้นบริโภคในประเทศ รับมือเศรษฐกิจผันผวน
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ประชุมร่วมกับ นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และผู้บริหารกระทรวง เพื่อติดตามมาตรการเศรษฐกิจที่ได้ออกไปแล้ว พร้อมเตรียมมาตรการใหม่สำหรับประคองเศรษฐกิจไทย ให้สามารถรับมือกับความผันผวนของเศรษฐกิจโลก
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ขณะนี้สถานการณ์เศรษฐกิจโลกไม่ค่อยดี ในฐานะที่กระทรวงการคลังเป็นเสาหลักของการดูแลเศรษฐกิจ จึงควรต้องเตรียมความพร้อมในการรับมือ เพื่อความไม่ประมาท ได้มอบนโยบายให้คลังดำเนินการในเรื่องสำคัญ 2-3 เรื่อง
โดยได้มอบหมายให้กระทรวงการคลังเตรียมมาตรการเศรษฐกิจเผื่อไว้ ทั้งมาตรการดูแลผู้มีรายได้น้อย เป็นไปได้ทั้งการเพิ่มรายได้ และลดรายจ่าย รวมถึงการใช้นโยบายการคลังสนับสนุนให้นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาไทยปีละ 30 ล้านคน มีการใช้จ่ายมากขึ้น สำหรับเม็ดเงินที่จะนำมาใช้ในมาตรการเหล่านี้นั้น ให้สำนักงบประมาณ และกระทรวงการคลังไปไล่ดูว่ามีงบที่ส่วนราชการขอไว้แล้วไม่ได้ใช้ หรือใช้ไม่หมดอยู่เท่าใด แล้วเรียกคืนมา ให้เป็นงบสำหรับให้นายกรัฐมนตรีใช้ดูแลฐานราก
"ฝ่ายบริหารต้องไม่ประมาท เราต้องเตรียมพร้อมรับมือกับเศรษฐกิจโลก แม้จะฝืนกระแสโลกไม่ได้ แต่ก็ต้องให้แน่ใจว่าเมืองไทยไม่เป็นไร และพยายามรักษาการเติบโตให้ตามที่คาดการณ์ไว้ 3.5% โดยจะต้องมีการเตรียมเม็ดเงินไว้ก้อนหนึ่งเผื่อต้องใช้ และต้องมีการเตรียมโครงการไว้รองรับว่าจะทำอะไรบ้าง สิ่งเหล่านี้ได้มอบหมายให้คลังไปคิดมา
นอกจากนี้ต้องมีการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณให้ได้ตามเป้า เพราะเมื่อเศรษฐกิจโลกไม่ดี ต้องทำให้ทุกอย่างเดินได้ตามแผนที่วางไว้ มอบหมายให้ทางนายวิสุทธ์ ศรีสุพรรณ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังดูแลขับเคลื่อนในส่วนนี้ ทั้งการเบิกจ่ายของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ โดยจะไปไล่ดูงบต่างๆร่วมกับสำนักงบประมาณ
จากการไล่ดูเม็ดเงินที่จะลงสู่ระบบในช่วงครึ่งปีแรก พบว่าในช่วงครึ่งปีแรกมีเม็ดเงินลงสู่ระบบหลายโครงการ ประกอบด้วย เงินลงทุนโครงการประชารัฐ 3.5 หมื่นล้านบาท จะทยอยออกในช่วงไตรมาส 1-2 นี้ เม็ดเงินลงทุน ไอซีที อินเทอร์เน็ตบอร์ดแบรนด์ 2 หมื่นล้านบาท ในครึ่งปีแรกคาดว่าจะลงทุนได้ 1 หมื่นล้านบาท
โครงการสินเชื่อ1ตำบล 1 เอสเอ็มอีเกษตรของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เม็ดเงินรวม 7-8 หมื่นล้านบาท คาดว่าภายใน 2-3 เดือนนี้จะมีเม็ดเงินออกมา 2หมื่นล้านบาท นอกจากนี้ยังมีงบตำบลละ 5 ล้านบาท ซึ่งภายใน 2-3 เดือนนี้จะเบิกจ่ายได้ครบ 3 หมื่นล้านบาท และยังมีงบขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.)อีก 5-6 หมื่นล้านบาท
นายสมคิด กล่าวต่อว่า นอกจากมาตรการที่ต้องเตรียมไว้ สิ่งสำคัญคือ การสร้างความเชื่อมั่นในประเทศ เพราะความจริงแล้วสถานการณ์ของไทยยังไปได้ดี แม้ว่าส่งออกในเดือนม.ค.จะถดถอย ติดลบ 8% แต่ดีกว่าประเทศอื่นในเอเชีย และหากไม่นับทอง และน้ำมัน ส่งออกไทยติดลบแค่ 5%
ด้านนายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ได้สรุปภาวะเศรษฐกิจให้รองนายกฯและรัฐมนตรีคลังรับทราบ โดยรวมเศรษฐกิจไทยไม่ได้แย่ พื้นฐานยังแข็งแกร่ง เพียงแต่ข่าวในด้านดีๆออกมาน้อย รองนายกรัฐมนตรีจึงให้ทางคลังพูดถึงสิ่งที่ทำไปแล้ว และสิ่งที่กำลังจะทำในช่วง 3-4 เดือนข้างหน้ามากขึ้น
ทั้งนี้มาตรการที่จะมากระตุ้นเศรษฐกิจในช่วง 3-4 เดือนข้างหน้า มีทั้งเม็ดเงินช่วยภัยหลัง การใช้จ่ายของภาครัฐ ซึ่งมีเม็ดเงินกว่า 1 แสนล้านบาท ทั้งเงินกองทุนหมู่บ้าน 3.5 หมื่นล้านบาท งบอปท.5-6 หมื่นล้านบาท โครงการเงินกู้ของธ.ก.ส.อีก 2 หมื่นล้านบาท
ขณะเดียวกันรัฐบาลยังเตรียมมาตรการเพื่อดูแลเศรษฐกิจต่อเนื่อง โดยให้กระทรวงคลังคิดมาตรการเศรษฐกิจในทุกๆด้าน เพื่อสร้างอุปสงค์ และกระตุ้นการบริโภคในประเทศ เพราะปัจจุบันประชาชน โดยเฉพาะเกษตรกรมีรายได้ลดลง เม็ดเงินในกระเป๋าน้อยลง คลังจึงต้องคิดมาตรการ หรือหากลไกเพื่อช่วยให้ผู้มีรายได้น้อยมีเงินในกระเป๋าเพิ่มขึ้น
"ขอเวลา 1-2 สัปดาห์ในการคิดมาตรการเพิ่มเงินในกระเป๋าของผู้มีรายได้น้อยว่าจะใช้แนวทางใด ยังตอบไม่ได้ว่าจะเป็นการให้เปล่า หรือเงินกู้ หรือใส่เงินลงไปแบบใด
ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยอีกว่า วานนี้ (7 มี.ค.) กระทรวงคลังได้ประชุมร่วมกับผู้ประกอบการเอกชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสรุปรายละเอียดโครงการบ้านประชารัฐ เพื่อเสนอเข้าสู่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในสัปดาห์หน้า เตรียมสินเชื่อทั้งสินเชื่อสำหรับผู้ประกอบการ และสินเชื่อให้ประชาชนกู้ซื้อบ้านไว้ประมาณ 7 หมื่นล้านบาท
โดยไม่ได้กำหนดเพดานรายได้ของผู้กู้ซื้อไว้ แต่มีเงื่อนไขว่าจะต้องเป็นบ้านหลักแรก ถึงจะกู้ซื้อบ้านประชารัฐได้ แพ็คเกจสินเชื่อที่เตรียมไว้ จะทำให้ผู้มีรายได้น้อย ตั้งแต่ 1.4-1.5 หมื่นบาทต่อเดือน สามารถเข้าถึงสินเชื่อได้
