นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยในงานสัมมนาไทยแลนด์ อิโคโนมิค เอ้าท์ลุก 2018 เมื่อวันที่ 9 พ.ย.ที่ผ่านมา ว่า ขอให้ทุกภาคส่วนมั่นใจเศรษฐกิจไทยในปีหน้า จะปรับตัวดีขึ้นอย่างแน่นอนหากไม่มีความวุ่นวายอะไรเข้ามากระทบ โดยตอนนี้ต่างชาติกำลังจับตาดูอยู่ว่า ประเทศไทยมีเสถียรภาพหรือไม่ และถ้าสถานการณ์ยังคงนิ่งอย่างนี้ต่อไป เชื่อว่า การลงทุนจะตามมาแน่นอน ทั้งจากจีน ญี่ปุ่น ฮ่องกง และสิงคโปร์ ขณะที่ภาคอสังหาริมทรัพย์ปีหน้าจะปรับตัวดีขึ้น และจะเป็นปัจจัยหลักที่ช่วยดึงให้ภาคเศรษฐกิจอื่นปรับตัวดีขึ้นตามมาได้
"ในปีหน้าเศรษฐกิจจะขยายตัวได้ดีต่อเนื่องซึ่งตนได้ชี้ให้เห็นมาตลอดว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจมีพัฒนาการที่ดีขึ้นจากที่ 3 ปีก่อนที่เคยขยายตัวได้เพียง 0.8% เพิ่มเป็น 3.2% ในปีก่อน และ 3.7% ในไตรมาสที่สองของปี ตามลำดับขณะที่ในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้เศรษฐกิจอาจจะขยายตัวได้ถึง 4% หรือมากกว่า 4% ซึ่งถือเป็นโมเมนตัมที่จะผลักดันการขยายตัวของเศรษฐกิจในปี 61 ต่อไป"
ส่วนประเด็นการบริหารเศรษฐกิจในปีหน้า ภาคเกษตรถือว่า เป็นเรื่องใหญ่ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้ดูแลและแก้ปัญหาอย่างจริงจัง เช่นเดียวกับการดูแลผู้มีรายได้น้อยให้มีรายได้มากขึ้นผ่านการส่งเสริมการค้าอีคอมเมิร์ซต่อยอดจากอินเทอร์เน็ตหมู่บ้าน ส่วนการสนับสนุนธุรกิจสตาร์ทอัพและเอสเอ็มอีได้ให้นโยบายกับธนาคารออมสินและเอสเอ็มอีแบงก์ให้เพิ่มกำลังคนในการทำงานและออกไปให้สินเชื่อให้มากขึ้น โดยทำงานให้เหมือนธนาคารท้องถิ่นที่ใกล้ชิดลูกค้ารู้ปัญหาเข้าถึงชุมชนท้องถิ่น
นอกจากนี้ในเรื่องของการปฏิรูปประเทศนั้นอยากให้ดูจีนเป็นแบบอย่างที่สามารถดึงคนเก่งเข้ามา บริหารประเทศ และอยากให้ประเทศไทยมีการตั้งไทยแลนด์ ดรีม คล้ายกับประเทศจีน ที่มี ไชน่าดรีม โดยอยากทำให้ความฝันเป็นจริงว่า การเมืองไทยแทนที่จะกันไม่ให้คนอื่นเข้ามาเล่น ก็เปลี่ยนให้เป็นการเมืองให้ทุกภาคส่วนเข้ามาทำงานด้วยกัน เลิกด่าฝ่ายนี้ฝ่ายโน้นแต่เอาคนที่ดีที่สุดเข้ามาทำงาน ไม่ใช่กี่รอบก็คนเดิมหน้าเดิม หลับตาก็เห็นภาพเลือกตั้งเมื่อไหร่ใครจะมา
ด้าน นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ในวันที่ 19 พ.ย. นี้ สมาชิกหอการค้าทั่วประเทศ จะร่วมประเมินเศรษฐกิจไทยในปี 60 อีกครั้ง จากเดิมที่คาดว่าขยายตัว 3.9% และในปี 61 ขยายตัวไม่ต่ำกว่า 4.2% เนื่องจากอานิสงส์มาตรการช้อปช่วยชาติระหว่างวันที่ 11 พ.ย.-3 ธ.ค. 60 และการใช้จ่ายเงินผ่านโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (บัตรคนจน) ที่มีเงินเข้าสู่ระบบรวม 20,000- 25,000 ล้านบาท จนช่วยกระตุ้นอัตราการขยายตัวเศรษฐกิจในปี60 ได้เพิ่มอีก 0.1% "ช้อปช่วยชาติคาดว่าจะมีเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ 15,000-20,000 ล้านบาท ประเมินจากตัวเลขฐานข้อมูลผู้เสียภาษี 10.3 ล้านคน และมีผู้เสียภาษีในระบบ 4.3 ล้านคน ซึ่งในจำนวนนี้มีกลุ่มผู้บริโภค 1 ล้านคนที่เสียภาษีมากกว่า 20% ขึ้นไป และคนกลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มที่มาใช้ลดหย่อนภาษีเต็มวงเงิน 15,000 บาท และมาตรการที่ออกมาเดือน พ.ย. เร็วกว่าปกตินั้นถือว่า ช่วยการใช้จ่ายบัตรสวัสดิการคาดมีเงินเข้าระบบ 5,000 ล้านบาท"
นายธนวรรธน์ กล่าวว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคประจำเดือน ต.ค. 60 อยู่ที่ 76.7 ดีขึ้นเป็นเดือนที่ 3 และสูงสุดในรอบ 6 เดือน และเป็นการปรับขึ้นในทุกรายการ สะท้อนให้เห็นถึงสัญญาณการฟื้นตัวที่ดีของเศรษฐกิจไทย และเป็นจุดเปลี่ยนของการฟื้นตัวชัดขึ้น